การใช้ชีวิตกับการติดเชื้อ HIV สิทธิทางกฎหมายของคุณในสถานที่ทำงานภายใต้ ADA
หากท่านติดเชื้อ HIV หรือ AIDS คุณมีสิทธิ ความเป็นส่วนตัว ในที่ทำงาน ท่านได้รับการคุ้มครองจาก การเลือกปฏิบัติ และ การคุกคาม ในที่ทำงานอันเนื่องมาจากอาการป่วยของท่าน และท่านอาจมีสิทธิตามกฎหมายที่จะได้รับ การอำนวยความสะดวกที่สมเหตุสมผล ซึ่งสามารถช่วยให้ท่านทำงานได้ เอกสารข้อเท็จจริงฉบับนี้จะอธิบายสิทธิ ซึ่งกำหนดไว้ภายใต้กฎหมายคนพิการแห่งอเมริกา (ADA) เหล่านี้โดยย่อ นอกจากนี้ ท่านยังมีสิทธิเพิ่มเติมภายใต้กฎหมายอื่นๆ เช่น กฎหมายการลางานเพื่อครอบครัวและการแพทย์ (FMLA) และกฎหมายประกันสุขภาพต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้กล่าวถึงในที่นี้อีกด้วย
1. ข้าพเจ้าสามารถเก็บเรื่องอาการป่วยของข้าพเจ้าไว้เป็นส่วนตัวได้หรือไม่?
ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ ท่านสามารถเก็บเรื่องอาการป่วยของท่านไว้เป็นส่วนตัวได้ โดยทั่วไป นายจ้างไม่สามารถถามท่านว่า ท่านติดเชื้อ HIV หรือไม่ หรือ ท่านมีภาวะทางการแพทย์อื่นๆ หรือไม่ ก่อนที่จะเสนองาน นายจ้างสามารถถามคำถามทางการแพทย์ได้ในสี่สถานการณ์ดังต่อไปนี้
· เมื่อมีส่วนร่วมในการดำเนินการเชิงบวกสำหรับคนพิการ ในกรณีนี้ท่านอาจเลือกที่จะตอบไม่ตอบคำถามก็ได้
· เมื่อท่านขอการอำนวยความสะดวกที่สมเหตุสมผล (ดูคำถามที่ 3)
- ภายหลังจากทื่ท่านได้รับข้อเสนอจ้างงานแล้ว แต่ก่อนที่จะเริ่มจ้างงาน ทุกคนที่เข้าประเภทงานเดียวกันจะต้องถูกถามคำถามเดียวกัน
· ในการทำงาน เมื่อมี หลักฐานที่ชัดเจน ว่าท่านอาจไม่สามารถทำงานได้หรืออาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยเนื่องจากสภาพร่างกายของท่าน นายจ้างของท่าน ไม่สามารถอาศัยตำนาน หรือความเชื่อแบบเหมารวมเกี่ยวกับสภาพร่างกายของท่าน เพื่อสรุปว่าท่านไม่สามารถทำงานได้หรือก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
ท่านอาจต้องหารือเกี่ยวกับอาการป่วยของท่าน เพื่อพิจารณาคุณสมบัติในการรับสิทธิประโยชน์ภายใต้กฎหมายอื่นๆ เช่น FMLA
หากท่านจำเป็นต้องพูดคุยเกี่ยวกับอาการป่วยของท่าน เพื่อตอบคำถามที่ไม่เกี่ยวกับการแพทย์ (ตัวอย่างเช่น หากท่านถูกถามว่าทำไมประวัติย่อของท่านจึงมีช่องว่าง) ท่านอาจเลือกที่จะตอบหรือไม่ตอบก็ได้ อย่างไรก็ตาม ท่านควรทราบว่านายจ้างอาจปฏิเสธท่าน เนื่องจากท่านไม่ตอบคำถาม หรือเพราะโกหก หากท่านพูดคุยเกี่ยวกับอาการป่วยของท่าน นายจ้างไม่สามารถ เลือกปฏิบัติ ต่อท่านได้ (ดูคำถามที่ 5) และนายจ้างต้องรักษาข้อมูลดังกล่าว ไว้เป็นความลับ แม้กระทั่งจากเพื่อนร่วมงาน (หากท่านต้องการพูดคุยเกี่ยวกับอาการป่วยของท่านกับเพื่อนร่วมงาน ท่านสามารถเลือกทำเช่นนั้นได้)
2. จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสภาพของข้าพเจ้าอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของข้าพเจ้าได้?
หากประสิทธิภาพการทำงานของท่านอาจได้รับผลกระทบจากการติดเชื้อ HIV ผลข้างเคียงของยา HIV หรือภาวะทางการแพทย์อื่น ๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องจาก HIV ท่านอาจมีสิทธิได้รับ การอำนวยความสะดวกที่สมเหตุสมผล ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาได้
การอำนวยความสะดวกที่สมเหตุสมผล คือการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในวิธีการทำสิ่งต่าง ๆ ที่ท่านต้องการเนื่องจากความพิการ การอำนวยความสะดวกที่สมเหตุสมผลที่เป็นไปได้ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงตารางการพักและการทำงาน (เช่น การพักเป็นระยะเพื่อพักผ่อนหรือใช้ห้องน้ำ หรือตารางงานที่ปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับการนัดหมายทางการแพทย์) การเปลี่ยนแปลงวิธีการควบคุมดูแล (เช่น คำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรจากหัวหน้างานที่มักไม่จัดเตรียมให้) การอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการทางสายตา (เช่น แว่นขยาย ซอฟต์แวร์อ่านหน้าจอ และเครื่องอ่านที่มีคุณสมบัติดีพอ) เฟอร์นิเจอร์สำนักงานตามหลักสรีรศาสตร์ วันหยุดโดยไม่ได้รับค่าจ้าง (เช่น เพื่อการรักษาหรือฟื้นฟู) อนุญาตให้ทำงานจากที่บ้าน และ การย้ายไปยังตำแหน่งที่ว่างหากท่านไม่สามารถทำงานของท่านได้อีกต่อไป เนื่องจากอาการป่วยของท่าน เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น ท่านสามารถร้องขอการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่ท่านต้องการได้เนื่องจากอาการป่วยของท่าน อย่างไรก็ตาม นายจ้างของท่านไม่จำเป็นต้องตัดหน้าที่ที่จำเป็น (หน้าที่พื้นฐาน) ของงานของท่าน ให้ท่านทำงานน้อยลงด้วยค่าจ้างเท่าเดิม หรือให้ท่านทำงานที่มีคุณภาพต่ำกว่า
เนื่องจากนายจ้างไม่จำเป็นต้องแก้ตัวสำหรับผลการทำงานที่ไม่ดี แม้ว่าจะเกิดจากอาการป่วยหรือผลข้างเคียงของยาก็ตาม อาจจะดีกว่าหากขอผ่อนผัน ก่อนที่จะเกิดปัญหาหรือแย่ลง
3. ข้าพเจ้าจะได้รับการอำนวยความสะดวกที่สมเหตุสมผลได้อย่างไร?
ทำการขอ แจ้งหัวหน้า ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล หรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องว่าท่านต้องการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานตามปกติเนื่องจากมีปัญหาสุขภาพ ท่านสามารถขอปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา (อย่างไรก็ตาม หลายคนเลือกที่จะรอจนกว่าจะได้รับข้อเสนอจ้างงาน เพราะเป็นเรื่องยากมากที่จะพิสูจน์การเลือกปฏิบัติที่ผิดกฎหมายซึ่งเกิดขึ้นก่อนได้รับข้อเสนองาน)
4. จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ข้าพเจ้าขอการอำนวยความสะดวกที่สมเหตุสมผล?
นายจ้างอาจขอให้ท่านยื่นคำขอเป็นลายลักษณ์อักษร และอธิบายอาการป่วยของท่านและผลกระทบต่อการทำงานของคุณ ท่านอาจถูกขอให้ส่งใบรับรองจากแพทย์ที่ระบุว่าท่านมีภาวะทางการแพทย์และต้องการการอำนวยความสะดวก หากท่านไม่ต้องการให้นายจ้างทราบการวินิจฉัยโรคของท่าน ท่านอาจให้เพียงเอกสารที่อธิบายอาการป่วยของท่านโดยทั่วไป (โดยระบุว่าคุณมี "โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง") แพทย์อาจถูกถามด้วยว่าการอำนวยความสะดวกที่สมเหตุสมผลบางอย่างจะตอบสนองความต้องการของท่านหรือไม่
หากการอำนวยความสะดวกที่สมเหตุสมผลจะช่วยให้ท่านทำงานได้ นายจ้างจะต้องจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกดังกล่าวให้ท่าน เว้นแต่จะก่อให้เกิดความยากลำบากหรือค่าใช้จ่ายจำนวนมาก นายจ้างไม่สามารถให้ท่านออก หรือปฏิเสธที่จะจ้างงาน หรือเลื่อนตำแหน่งท่าน เนื่องจากท่านขอสิ่ง อำนวยความสะดวกที่สมเหตุสมผล หรือเนื่องจากท่านต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกดังกล่าว นายจ้างไม่สามารถเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการอำนวยความสะดวกจากท่านได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม หากมีการอำนวยความสะดวกมากกว่าหนึ่งอย่าง นายจ้างของท่านสามารถเลือกว่าจะจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกประเภทใดให้กับท่านได้
5. หากนายจ้างของข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าติดเชื้อ HIV ข้าพเจ้าจะถูกให้ออกได้หรือไม่?
นายจ้างไม่มีสิทธิเลือกปฏิบัติต่อท่าน เพียงเพราะท่านติดเชื้อ HIV ซึ่งรวมถึงการไล่ออก ปฏิเสธไม่ให้ท่านได้รับงาน หรือเลื่อนตำแหน่ง และบังคับให้ท่านลาออก
แม้ว่านายจ้างไม่จำเป็นต้องเก็บพนักงานที่ไม่สามารถทำงานหรือเป็น "ภัยคุกคามโดยตรง" ต่อความปลอดภัยไว้ (มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอันตรายร้ายแรงต่อตนเองหรือผู้อื่น) แต่นายจ้าง ไม่สามารถ ใช้ความเชื่อผิดๆ หรือความเชื่อแบบเหมารวมเกี่ยวกับการติดเชื้อHIV ในการตัดสินใจว่าท่านสามารถทำอะไรได้อย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ก่อนที่นายจ้างจะปฏิเสธท่านเนื่องจากอาการป่วยของท่าน นายจ้างจะต้องมี หลักฐานที่ชัดเจน ว่าท่านไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือท่านจะสร้างความเสี่ยงด้านความปลอดภัยอย่างมีนัยสำคัญ แม้จะมีการอำนวยความสะดวกที่สมเหตุสมผล ก็ตาม
6. จะเกิดอะไรขึ้นหากข้าพเจ้าถูกคุกคามเนื่องจากสภาพของข้าพเจ้า?
การคุกคาม ที่เกิดเนื่องมาจากความพิการไม่สามารถทำได้ภายใต้ ADA ท่านควรแจ้งให้นายจ้างทราบเกี่ยวกับ การคุกคาม ใดๆ หากท่านต้องการให้นายจ้างยุติปัญหาดังกล่าว โดยปฏิบัติตามขั้นตอนการรายงานของผู้ว่าจ้างหากมี หากท่านรายงานการคุกคามดังกล่าว นายจ้างของท่านจะต้องดำเนินการตามกฎหมายเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต
7. ข้าพเจ้าควรทำอย่างไรหากคิดว่าสิทธิของข้าพเจ้าถูกละเมิด?
คณะกรรมการการจ้างงานที่เท่าเทียม (EEOC) จะช่วยท่านตัดสินใจว่าต้องทำอย่างไรต่อไป และดำเนินการสอบสวน หากท่านตัดสินใจยื่นข้อกล่าวหาของการเลือกปฏิบัติ เนื่องจากท่านต้องยื่นข้อกล่าวหาภายใน 180 วันหลังจากที่มีการกล่าวหาว่ามีการละเมิดกฎหมาย เพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป (หรือ 300 วัน หากนายจ้างอยู่ภายใต้กฎหมายการเลือกปฏิบัติในการจ้างงานของมลรัฐหรือท้องถิ่น) จึงควรเริ่มดำเนินการตั้งแต่เนิ่น ๆ เป็นการละเมิดกฎหมาย หากนายจ้างของท่านตอบโต้ท่านเพราะท่านติดต่อ EEOC หรือยื่นข้อกล่าวหาดังกล่าว หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ http://www.eeoc.gov โทร 800-669-4000 (เสียงพูด) หรือ 800-669-6820 (TTY) หรือไปที่สำนักงาน EEOC ในพื้นที่ของคุณ (ดูข้อมูลติดต่อได้ที่ http://www.eeoc.gov/field/index.cfm )